ต้นข้าวโอ๊ต มีแหล่งกำเนิดในแถบอบอุ่น บริเวณเอเชียไมเนอร์ แต่ก็เติบโตได้ดีในเขตยุโรปเหนือ ปัจจุบันประเทศที่ปลูกข้าวโอ๊ตมากที่สุด ได้แก่ รัสเซีย แคนาดา อเมริกา โปแลนด์ ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย เยอรมนี จีน และยูเครน เป็นธัญพืชประจำชาติของชาวตะวันตก และเป็นอาหารของปศุสัตว์ ทั้งวัว ควาย และม้า กินข้าวโอ๊ตด้วย หรือผสมทำอาหารเม็ด ฟางข้าวโอ๊ตใช้ทำเตียงนอนหรือรองที่นอนของเหล่าม้า วัว ควาย พวกมันนอนหลับสบายดีบนฟางข้าวโอ๊ต เนื่องจากมีกลิ่นดิน กลิ่นธรรมชาติ คงไม่รู้สึกแปลกปลอม
ข้าวโอ๊ตจึงเป็นอาหาร เป็นต้นกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั่วโลก แต่คนกับวัวควายก็ไม่แย่งกันกิน เพราะสูตรใครก็สูตรมัน…
จากการศึกษาวิจัยเรื่องสารอาหารในข้าวโอ๊ต ที่เริ่มเปิดประเด็นเมื่อปลายทศวรรษ 1980 พบว่า ข้าวโอ๊ตมีสารอาหารและเส้นใย ที่ช่วยป้องกันโรคภัยหลายชนิด เคยมีผู้ผลิตมันฝรั่งแผ่นทอดหรือโปเตโต ชิพ ผสมข้าวโอ๊ตลงไป ปรากฏว่าขายดิบขายดี จากรายงานการศึกษาของนักโภชนาการที่ออกมาบอกว่า กินข้าวโอ๊ตทุกวัน ลดไขมันชนิดเลวและคอเลสเตอรอล ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด อันว่าโรคเหล่านี้คนอเมริกันเป็นกันมาก ดังนั้น เมื่อมีประกาศรณรงค์ให้ช่วย ๆ กันกินข้าวโอ๊ต ใคร ๆ ก็เลยหาข้าวโอ๊ตใส่ลงไปในอาหาร
เมื่อนักโภชนาการควานหาคุณสมบัติอันเลอเลิศของข้าวโอ๊ตเจอ ก็เลยชวนให้ทุกคนกินข้าวโอ๊ต โดยคุณสมบัติขั้นเทพของข้าวโอ๊ตคือ เส้นใย หรือไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ เป็นธัญพืชที่มีกากใยสูง แคลอรีต่ำ กากใยนี้เมื่อกินเข้าไปจะทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ ช่วยซึมซับน้ำเมื่ออาหารตกผ่านลงไปในท้อง ช่วยให้รู้สึกอิ่มเร็ว เมื่อเริ่มต้นกระบวนการย่อยในลำไส้ ข้าวโอ๊ตจะช่วยในการดูดซึมอาหาร กากใยที่มีจะก่อตัวเป็นเจล แล้วค่อย ๆ ซึมซับคาร์โบไฮเดรต รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ และมีโปรตีนช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน โปรตีนในข้าวโอ๊ตมีค่าใกล้เคียงกับโปรตีนในถั่วเหลือง และไม่น้อยไปกว่าเนื้อ นม ไข่ จัดเป็นธัญพืชที่มีโปรตีนมากที่สุด กินข้าวโอ๊ตจึงให้คุณค่า ไม่อ้วน อิ่มเร็ว และปล่อยให้กากใยทำหน้าที่ที่ดีต่อร่างกาย
ในอเมริกา ที่รณรงค์ให้กินข้าวโอ๊ตระบุว่า ถ้ากินข้าวโอ๊ตให้ได้ไฟเบอร์ 3 กรัมต่อวัน จะช่วยลดไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจ แต่ควรกินอย่างน้อย 0.75 กรัม ต่อการกิน 1 ครั้ง ถ้าไม่รู้ว่าควรกินปริมาณเท่าใด ก็ลองคิดเองว่า ในข้าวโอ๊ต 100 กรัม (3.5 ออนซ์) ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และตัวสำคัญไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม นับว่ามีมากอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อจะกินอาหารเช้าด้วยนมหรือน้ำเต้าหู้ เติมข้าวโอ๊ตบดหรือหยาบลงไปไม่ผิดกติกา หรือจะมีวิธีกินข้าวโอ๊ตด้วยวิธีอื่น ก็มีเมนูสารพันข้าวโอ๊ตมากมาย
ข้าวโอ๊ตยังเป็นแขกรับเชิญในผลิตภัณฑ์ถนอมผิว สบู่ข้าวโอ๊ตก็ทำกันมานานแล้ว ตอนนี้มีโลชั่นผสมสารสกัดข้าวโอ๊ต มีครีมบำรุงผิว สครับ เพราะนอกจากคุณค่าสารอาหารมากมายแล้ว ในข้าวโอ๊ตยังมีวิตามินอี เป็นกลีเซอรีนธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น สูตรสครับผิวในสปานิยมผสมข้าวโอ๊ต ขัดผิวแล้วผิวผ่องเป็นนวลใย หรือจะทำสครับผิวด้วยข้าวโอ๊ตด้วยตัวเองก็ได้ ข้าวโอ๊ตหรือโอ๊ตมีลที่เหลือกินก็ทำได้ ผสมน้ำผึ้งก็ได้ ผสมน้ำมันหรือนม ทาหรือสครับผิว นับว่าเป็นสปาที่บ้านแบบไม่เปลืองเงิน
ต้นข้าวโอ๊ต มีแหล่งกำเนิดในแถบอบอุ่น บริเวณเอเชียไมเนอร์ แต่ก็เติบโตได้ดีในเขตยุโรปเหนือ ปัจจุบันประเทศที่ปลูกข้าวโอ๊ตมากที่สุด ได้แก่ รัสเซีย แคนาดา อเมริกา โปแลนด์ ฟินแลนด์ ออสเตรเลีย เยอรมนี จีน และยูเครน เป็นธัญพืชประจำชาติของชาวตะวันตก และเป็นอาหารของปศุสัตว์ ทั้งวัว ควาย และม้า กินข้าวโอ๊ตด้วย หรือผสมทำอาหารเม็ด ฟางข้าวโอ๊ตใช้ทำเตียงนอนหรือรองที่นอนของเหล่าม้า วัว ควาย พวกมันนอนหลับสบายดีบนฟางข้าวโอ๊ต เนื่องจากมีกลิ่นดิน กลิ่นธรรมชาติ คงไม่รู้สึกแปลกปลอม